ผู้ช่วยรมต.ยธ แนะสอบเส้นทางการเงิน”บอย ศรสุวีร์” หลังโพสต์ขายหน้ากากอนามัย ขณะเดียวกันควรให้ความเป็นธรรม ร.อ.ธรรมนัส ที่ออกชี้แจงแล้วไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเรื่องนี้
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีเพจชื่อดังได้โพสต์เรื่องราวของบุคคลที่ติดตามรัฐมนตรีคนหนึ่ง พร้อมกับ นายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือ “บอย ไนท์มาร์เก็ต” ว่าสามารถหาหน้ากากอนามัย มาจำหน่ายได้ ราคาชิ้นละ 14 บาท และต้องซื้อเป็น 1 ล้านชิ้นขึ้นไป โดยต้องมีการโชว์สเตทเม้นท์ หรือเอกสารการเงินก่อนจะเข้ามาติดต่อทางธุรกิจว่า เรื่องนี้สังคมกำลังให้ความสนใจเพราะหน้ากากอนามัยในประเทศไทยหายากยิ่งกว่าทองคำ ไม่มีใครหาซื้อได้ในราคาถูกตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกไว้ว่าราคาเพียง 2.50 บาทต่อชิ้น โดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.พาณิชย์ ก็ได้มีการลงนามคำสั่งและบทลงโทษในการกักตุนหรือขายเกินราคากว่าที่กฎหมายไว้แล้ว
นายสามารถ กล่าวอีกว่า การนำเข้าหน้ากากอนามัยจากต่างประเทศหรือผลิตในประเทศต้องขายไม่เกิน 2.50 บาทต่อชิ้น โดยการนำเข้าจากต่างประเทศราคาขายปลีกไม่ควรเกินร้อยละ 60 ของต้นทุนราคานำเข้า เช่น นำเข้ามา 1 บาท บวกส่วนต่าง 60 สตางค์ จะขายได้ไม่เกิน 1.60 บาทต่อชิ้น ส่วนในประเทศสามารถผลิตได้ 1.2 ล้านชิ้นต่อวัน แบ่งจัดสรรให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) 7 แสนชิ้น เพื่อกระจายให้สถานพยาบาลทั่วประเทศ เหลืออีก 5 แสนชิ้น กระจายไปยังประชาชนหรือบุคคลกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ ทั้ง 60 ล้านคน วางจำหน่ายร้านขายยา สายการบิน ร้านค้าปลีก ร้านธงฟ้า เป็นต้น โดยรัฐบาลจะควบคุมราคาเอาไว้ที่ 2.50 บาทต่อชิ้น
ทั้งนี้ หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม ซึ่งผู้ที่มีพฤติการณ์ต่อไปนี้จะถูกดำเนินคดี 1.เก็บสินค้าที่อื่นนอกเหนือจากการแจ้งเจ้าหน้าที่ 2.ไม่นำสินค้าออกมาจำหน่าย 3.ปฏิเสธการจำหน่าย 4.ประวิงเวลาการจำหน่าย 5.ส่งมอบหน้ากากอนามัยโดยที่ไม่มีเหตุผลอันสมควร ผู้กักตุนหรือขายเกินในราคาอันมีเจตนาสร้างความปั่นป่วน มีความผิดตามมาตรา 29 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนการครอบครองปริมาณมากนั้นยังไม่มีบทลงโทษเพราะอาจกระทบต่อคนทั่วไปที่จำเป็นต้องใช้หน้ากากอนามัยในการปฏิบัติหน้าที่ เช่น สถานพยาบาล
ส่วนกรณี นายศรสุวีร์ หรือบอย ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นคลิปเก่าก่อนมีการออกกฎหมายควบคุมฯ จึงอยากให้ตรวจสอบบัญชีการเงินของนายบอยว่ามีเงินหมุนเวียนจำนวนเท่าไหร่ จะสามารถรู้ถึงธุรกรรมต่างๆว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง มีการซื้อหน้ากากจริงหรือไม่และซื้อเมื่อไหร่ จะช่วยตอบคำถามของสังคมได้ รวมถึงอ้างว่าถ่ายคลิปเพราะทำงานเป็นนายหน้า ซึ่งตนเคยพูดมาก่อนแล้วว่าระวังหน้ากากอนามัยจะกลายเป็นแชร์ลูกโซ่ ปั่นจากราคา 2.50 บาทสูงถึง 14 บาท เนื่องจากบางรายต้องโอนเงินก่อนเพื่อมาดูสินค้า บางรายโอนเงินแล้วก็ไม่ได้สินค้า กรณีที่อ้างเกี่ยวข้องถึง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ส่วนตัวคิดว่าต้องให้ความเป็นธรรมกับท่านรัฐมนตรีด้วย เพราะตัวท่านเองก็ออกมาชี้แจงแล้วว่าไม่ส่วนรู้เห็น และตนเองก็ได้รับข้อมูลจากชาวบ้านว่าตัวท่านรัฐมนตรีเป็นคนขยันทำงาน ดังนั้นเรื่องนี้ควรให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ตนมองว่าพอเหตุการณ์นี้สังคมมีข้อมูลมากก็จะได้รับทราบข้อความจริงมากขึ้น และส่วนตัวก็ยังสนับสนุนท่านนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในทุกมิติ
นายสามารถ กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดผลกระทบในประเทศไทย สะท้อนเห็นถึงความมีจิตสำนึกของส่วนรวม การออกมาปกป้องช่วยเหลือประชาชน แต่ก็มีบางส่วนถูกหลอกเรื่องปั่นราคาหน้ากากอนามัยหรือคิดจะผันตัวเองเป็นนายหน้าเพื่อกินส่วนต่างทำกำไรระยะสั้น สุดท้ายก็อาจตกเหยื่อ โดยตนมองว่าปัญหาแชร์ลูกโซ่คล้ายกับไวรัสโควิด-19 เพราะทุกวันนี้เหยื่อแชร์ลูกโซ่ยังไม่ได้รับการเยียวยาเนื่องจากติดข้อกฎหมายและเงินที่ถูกอายัดก็ยังไม่สามารถนำมาคืนผู้เสียหาย บางคนจึงต้องหันไปหลอกลวงเกิดปัญหาอาชญากรรมประเภทอื่น โดยปัญหานี้ตนพร้อมเพื่อน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งผลักดันกฎหมายอยู่ในขณะนี้
นายสามารถ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนจะควักเงินส่วนตัวบินไปดูงานประเทศอังกฤษ พร้อมกับเพื่อน สส เพื่อศึกษาวิธีการทำงานกลับมาช่วยเหลือประชาชน พร้อมขอให้คนไทยทุกคนจับมือในการแก้ปัญหาโควิด-19 และปัญหาแชร์ลูกโซ่ สุดท้ายขออนุญาตหยิบยกคำพูดของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี ว่า “เกิดมาต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน “ ถ้าวันนี้ทุกคนมีอุดมการณ์เดียวกัน มีแนวความคิดเดียวกันช่วยเหลือประเทศชาติบ้านเมือง ทุกอย่างจะเดินไปข้างหน้าได้ อย่างดีเยี่ยม ผมมั่นใจ”