ตรวจการบ้าน 6 เดือนรัฐมนตรีเผ่าภูมิ

ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลใกล้เข้ามาแล้ว แม้ยังไม่มีทิศทางที่แน่ชัดจากฝ่ายค้านว่าใครจะเป็นเป้าในการอภิปรายครั้งนี้ แต่ในเชิงเศรษฐกิจก็คงหนีไม่พ้นจะโดนตรวจการบ้าน รัฐมนตรีอีกคนที่ต้องรับบทหนักคงหนีไม่พ้นรัฐมนตรีช่วยคลังฯ Gen Y หน้าใหม่ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล ผู้ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี Gen Y แพรทองธาร ชินวัตร และเพิ่งได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลกรมสรรพสามิตซึ่งเป็นกรมที่จัดเก็บรายได้ภาษีเข้าประเทศได้เป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากกรมสรรพากร
หลังจาก รมช. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้ามอบนโยบายแก่กรมสรรพสามิต เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 โดยมอบนโยบายให้กรมสรรพสามิตเป็นกลไกและรักษาสมดุลด้านภาษีระหว่างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชน ธรรมาภิบาล และรายได้ โดยมีนโยบายภาษีใหญ่ๆ 5 ด้าน แต่ 6 เดือนผ่านไปกรมสรรพสามิตยังจัดเก็บภาษีเป็นอันดับ 2 ผลงานการจัดเก็บรายได้ช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 สูงกว่าปีก่อน 0.7% แต่ยังคงต่ำกว่าประมาณการ 1.4%
1.ยานยนต์ : จากนโยบายที่จะใช้กลไกภาษีกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบ ล่าสุดเห็น รมช. เผ่าภูมิ เดินสายเยี่ยมโรงงานผลิตของผู้ประกอบการหลายราย คงต้องติดตามดูมาตรการปรับปรุงเงื่อนไขอัตราภาษีรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภทประหยัดพลังงานแบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้าที่สามารถเสียบปลั๊กประจุไฟฟ้า Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) ที่คาดว่าจะเสนอ ครม. ได้ในเดือนเมษายนนี้ว่าจะสนับสนุนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมในระยะยาวและเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจประเทศได้ไหม
2.น้ำมัน : กำหนดกลไกราคาคาร์บอนในภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน 6 ประเภท ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวที่มีความชัดเจน ที่มีมติ ครม. เมื่อเดือนมกราคม 2568 เก็บภาษีคาร์บอนน้ำมัน 200 บาท/ตัน เพื่อเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนพฤติกรรมของทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคให้ตะหนักถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างโอกาสทางการค้าระหว่างประเทศ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ถือเป็นการผลักดันมาตรการให้ได้เป็นรูปธรรมได้ และล่าสุดยังมีแนวคิดในการ กำหนดพิกัดภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานคาร์บอนต่ำ (SAF : Sustainable Aviation Fuel) เตรียมความพร้อมในการกำกับดูแลและใช้ภาษีสรรพสามิตเป็นกลไกให้ไทยเป็นผู้นำสำหรับเชื้อเพลิงเครื่องบินชนิดใหม่
3.สุขภาพประชาชน : การจัดเก็บภาษีความหวานแบบผสมต่อเนื่อง และเข้าสู่เฟส 4 ตามกำหนดเวลา ส่วนภาษีโซเดียมในสินค้าบางประเภท รวมทั้งภาษีไขมัน เพื่อปรับพฤติกรรมการบริโภคโซเดียมและไขมัน ยังคงไม่มีผลงานที่เป็นรูปธรรมออกมา คงต้องรอการหารือร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขให้ชัดเจนเสียก่อน
4.แบตเตอรี่ ได้มอบให้กรมสรรพสามิตศึกษาพิจารณาเปลี่ยนจากอัตราคงที่ 8% เป็นอัตราแบบขั้นบันได โดยคำนึงถึงปัจจัย Life Cycle และค่าพลังงานจำเพาะต่อน้ำหนัก รวมถึงชนิดของแบตเตอรี่ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สะอาด อุตสาหกรรมรถยนต์ EV ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและการรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องอย่างเร็วคือภายในไตรมาส 2/68
5.บุหรี่ มีการมอบหมายให้จัดเก็บภาษีแบบผสม โดยพิจารณาและศึกษาความเหมาะสมในการปรับปรุงโครงสร้างภาษีบุหรี่แบบอัตราเดียว (Singler Rate) เพื่อลดการบิดเบือนกลไกราคา โดยให้พิจารณาปัจจัยความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการและสนับสนุนผู้เพาะปลูกใบยาสูบในประเทศด้วย อย่างไรก็ตามดูเหมือนจะไม่มีความก้าวหน้าในเรื่องนี้ ผลจากความล่าช้าในการตัดสินใจแก้ไขภาษีบุหรี่เป็นแบบอัตราเดียว ส่งผลให้ภาษียาสูบช่วง 4 เดือนแรกของปีงบนี้ลดจากช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วถึง 14.39%
ปัญหาโครงสร้างภาษียาสูบแบบ 2 อัตราและอัตราภาษีที่สูงมากเป็นอันดับต้นของภูมิภาคคือปัญหาสำคัญที่เรื้อรังมาหลายปี ได้ฉุดรั้งรายได้สรรพสามิตยาสูบมาตลอด 7 ปีที่ใช้มาจากที่เคยเก็บได้ 6.8 หมื่นล้านบาทในปีงบ 2560 เหลือเพียง 5.1 หมื่นล้านบาทในปีงบ 2567 เท่านั้น อัตราภาษีที่สูงก่อให้เกิดผลกระทบทางสังคมจากบุหรี่เถื่อนที่กินส่วนแบ่งตลาดถึง 25% สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวไร่ยาสูบถ้วนหน้า และยังไม่สามารถลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ลงได้ตามเป้า ส่วนโครงสร้างภาษี 2 อัตราก็ทำให้เกิดการบิดเบือนด้านราคาและการแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มบุหรี่ราคาถูกที่มีอัตราภาษีที่ต่ำกว่า แม้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลสมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รองนายกรัฐมนตรีนายวิษณุ เครืองาม ได้ออกมาชี้แจงต่อสภาฯ ว่าการปรับโครงสร้างภาษีเป็นหลายอัตรา ก็เพื่อช่วยปกป้องการยาสูบแห่งประเทศไทย แต่ผลที่ได้คือบุหรี่ต่างประเทศกลับเติบโตมากขึ้นในขณะที่บุหรี่ในประเทศต้องสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไปเรื่อยๆ และยังเกิดเป็นผลกระทบทางลบต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
ความล่าช้าที่เกิดขึ้นอาจเป็นผลมาจาการที่การยาสูบแห่งประเทศไทยได้เคยออกมาคัดค้านการใช้โครงสร้างภาษีอัตราเดียวเพราะเห็นว่าไม่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย และเสนอโครงสร้าง 3 อัตรา เพื่อลดราคาบุหรี่ลงแทนตามที่เห็นได้จากรายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหายาสูบและยาเส้นราคาตกต่ำ ของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎรราวกับว่าการยาสูบแห่งประเทศไทยได้กลายเป็นผู้กำหนดนโยบายภาษีสรรพสามิยาสูบไปซะแล้ว
แต่การลดราคาบุหรี่ถูกกฎหมายให้ถูกลงหรือการเพิ่มจาก 2 อัตรา เป็น 3 อัตราเพื่อให้มีบุหรี่ที่มีราคาถูกลงไม่ใช่คำตอบ เพราะจะดึงดูดผู้สูบบุหรี่แน่นอนให้หันมาสูบบุหรี่ราคาถูกลงและยังต้องเผชิญแรงต้านจากฝั่งสุขภาพและสาธารณสุขที่ คงจะไม่ยอมง่ายๆ เพราะสวนกระแสการลดอัตราการสูบบุหรี่และตรงข้ามกับจุดยืนขององค์การอนามัยโลก (WHO) และสวนทางกับนโยบายที่ นายเผ่าภูมิมอบไว้ว่าจะคำนึงถึงสุขภาพของประชาชน และยังจะส่งผลต่อรายได้ของภาษีสรรพสามิตที่จะเก็บได้ก็จะน้อยลงไปด้วย
แม้ว่าคณะรัฐมนตรีได้เคยสั่งการและมอบหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ให้เป็นแบบอัตราเดียวมาแล้วถึง 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย แต่อดีตอธิบดีกรมสรรพสามิตในช่วงที่ผ่านมากลับไม่มีใครสามารถดำการให้เป็นไปตามมติ ครม. ได้เลยแม่แต่คนเดียวซึ่งรวมถึง นายลวรรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง อดีตอธิบดีกรมสรรพสามิตเช่นกัน
งานนี้คงต้องวัดใจคุณเผ่าภูมิว่าจะมองเห็นโอกาสสร้างรายได้จากวิกฤติที่เกิดขึ้น ในฐานะรัฐมนตรีช่วยคลังฯ ควรรีบดำเนินการเร่งรัดนโยบายภาษีสรรพสามิตที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้เพื่อปรับโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่ ตาม 14 แนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจของอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ที่มีการจัดระเบียบโครงสร้างภาษีเป็นหนึ่งในแนวทางปลดล็อคเศรษฐกิจไทยเพื่อพิสูจน์ฝีมือให้เห็นว่าเหมาะสมแล้วที่ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง