(22 กุมภาพันธ์ 2564) ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ (อว.) ร่วมกับปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนักวิชาการชั้นนำของประเทศ แถลงเกี่ยวกับการบริหารจัดการและให้วัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทยอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างเชื่อมั่นและลดความกังวลแก่ประชาชน พร้อมระบุเมื่อเริ่มใช้วัคซีนในปลายเดือน ก.พ. นี้ ได้จัดระบบในการติดตามและศึกษาวิจัยให้แน่ใจว่าประชาชนมีความปลอดภัยและได้รับประโยชน์จากวัคซีน และย้ำว่า “ไทยพร้อมทุกด้านที่จะใช้วัคซีนโดยมีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัย”
ศาสตราจารย์ ดร.นพ. สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ระบุว่า เมื่อวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ลอตแรกเข้ามาในประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้สนับสนุนด้านวิชาการและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องวัคซีนโควิด-19 ในประเทศ โดยร่วมกับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนแผนงานวัคซีนแบบครบวงจรในทุกมิติ ที่ช่วยสนับสนุนกลไกในการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง อว. จะให้การสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสู้ภัยโควิด-19 นี้ไปอย่างต่อเนื่อง และสร้างเครือข่ายความร่วมมือโดยนักวิชาการชั้นนำของประเทศในการสร้างองค์ความรู้ร่วมกัน พร้อมทั้งตอบคำถามของสังคมตามหลักวิชาการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดความกังวลให้กับประชาชนในการใช้วัคซีนต่อไป
“มีข่าวดีว่าผลการใช้วัคซีนโควิดออกมาได้ผลดี และประเทศไทยมาถูกทางแล้วในเรื่องนโยบายรวมทั้งการบริหารจัดการเกี่ยวข้องกับวัคซีน รวมทั้งเมื่อเริ่มใช้วัคซีนในปลายเดือน ก.พ. นี้ เราจะมีระบบในการติดตาม เก็บข้อมูลและประมวลผลจากการใช้วัคซีนให้แน่ใจว่าประชาชนมีความปลอดภัยและได้รับประโยชน์จากวัคซีน ซึ่งทาง อว. โดยวช. จะสนับสนุนชุดโครงการวิจัยขนาดใหญ่โดยมีนักวิชาการชั้นนำของประเทศจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ร่วมมือกับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อประมวลผลของการใช้วัคซีนในทุกมิติ ได้แก่ การติดตามความปลอดภัยของวัคซีนทั้งระยะสั้นและระยะยาว, การศึกษาประสิทธิภาพ ว่ามีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นหรือไม่และนานแค่ไหนในประชากรกลุ่มต่างๆ, การติดตามประสิทธิผล โดยวิเคราะห์ว่าสามารถลดอัตราการเจ็บป่วยและอัตราการตายได้หรือไม่, การติดตามการกลายพันธุ์และเฝ้าระวังว่ามีสายพันธุ์แปลกๆที่ไม่ได้ผลหรือไม่ และการจัดระบบการบริหารจัดการวัคซีนและผลที่เกิดขึ้นเพื่อผ่อนปรนมาตรการ เช่น การใช้วัคซีนพาสปอร์ต การปรับระยะเวลากักกันหรือกักตัว การดูแลการเดินทางระหว่างประเทศ เป็นต้น” ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล กล่าว
ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สธ. มีบทบาทสำคัญในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มาตั้งแต่เริ่มระบาดในระยะแรกจนถึงปัจจุบันที่เกิดการระบาดระลอกใหม่ ซึ่งประเทศไทยสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ดี แม้ระลอกใหม่จะมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากแต่ก็สามารถควบคุมได้ในระยะเวลาอันสั้น และสิ่งที่จะดำเนินการต่อไปคือเรื่องการใช้วัคซีนโควิด-19 ซึ่งในช่วงแรกต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่ามีคุณภาพและความปลอดภัย โดยเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุขคือต้องการใช้วัคซีนเพื่อทำให้เกิดภูมิคุ้มกันในระดับประเทศ โดยไทยได้เตรียมการเพื่อให้ได้รับวัคซีนอย่างครอบคลุมโดยเร็วที่สุดโดยมีการจองวัคซีนโควิด-19 แล้วถึง 63 ล้านโดส กระทรวงสาธารณสุขจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อฉีดให้ครบทั้ง 63 ล้านโดสภายในปีนี้ เพราะหากไม่เกิดภูมิคุ้มกันระดับประเทศ เราก็เปิดประเทศไม่ได้ และเมื่อมีภูมิคุ้มกันระดับประเทศก็สามารถทำให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้