สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ส่งมอบนวัตกรรมหน้ากากอนามัยชนิด KN95 จำนวน 5,000 ชิ้น ให้กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.)
วิทยาเขตปัตตานี เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ รับมือสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัส
โคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีส่งมอบนวัตกรรมหน้ากากอนามัยชนิด KN95 ในวันนี้ (7 พฤษภาคม 2564) พร้อมทั้งกล่าวถึงการสนับสนุนผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์ โดยมี นางสาวนันทนา มีประเสริฐ ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี รับมอบนวัตกรรมหน้ากากอนามัยชนิด KN95 ซึ่งจะนำไปใช้งานในโรงพยาบาลสนาม เพื่อรับมือสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19
ในโอกาสนี้ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีบทบาทภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทย ให้ก้าวไปข้างหน้า ตลอดจนสนับสนุนกลไกการพัฒนาประเทศมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์สำคัญของประเทศจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19
วช. พร้อมให้การสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ ทั้งในส่วนของอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อให้บุคลากร เจ้าหน้าที่แพทย์และพยาบาล พร้อมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่รองรับผู้ป่วยอย่างเต็มกำลังความสามารถ และขอให้มั่นใจว่า วช. พร้อมร่วมมือกับทุกหน่วยงานเพื่อทำหน้าที่ดูแลประเทศไทยให้ผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ด้วยกันอีกครั้ง
นวัตกรรมหน้ากากอนามัยชนิด KN95 เป็นผลงานของศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) ที่ออกแบบและพัฒนาหน้ากากอนามัยชนิด KN95 เพื่อใช้ทางการแพทย์ เน้นออกแบบเพิ่มความกระชับให้แนบเข้ากับใบหน้า รอบจมูกและปาก เพื่อป้องกันโรคติดต่อ ทางเดินหายใจจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 และป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) หน้ากากอนามัย ชนิด KN95 ผ่านการทดสอบคุณภาพตามมาตรฐานจากห้องปฏิบัติการ เทียบเท่ากับสินค้าท้องตลาด และวัสดุผลิตได้ในประเทศประเมินราคาต้นทุนต่อหน่วย เมื่อเทียบราคาตลาด จะถูกกว่า 20-30 บาทต่อชิ้น โครงการการวิจัยดังกล่าวได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก วช. เพื่อผลิตและขยายกำลังการผลิตให้ได้มาตรฐานสากล และเพียงพอและตรงตามความต้องการของท้องตลาด อีกด้วย