กรมชลประทาน ลงพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ติดตามความก้าวหน้างานสำรวจ ออกแบบ โครงการคลองระบายน้ำหลากป่าสัก-อ่าวไทย ระยะที่ 1 ตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำยั่งยืน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก รับมือภาวะภัยพิบัติอุทกภัยและภัยแล้ง ลดผลกระทบความเดือดร้อนประชาชน
นายเฉลิมเกียรติ กล่าวว่า จากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ปี 2554ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ได้สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่เกษตรกรรม ชุมชน และพื้นที่เศรษฐกิจของประเทศ ผลกระทบของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง มีแนวโน้มให้เกิดน้ำท่วมบ่อยขึ้น จากปริมาณฝนที่ตกในปัจจุบัน เห็นได้ว่าปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งประเทศของปี 2564 สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 9% ช่วงวันที่ 24-26 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ จากอิทธิพลของพายุเตี้ยนหมู่ น้ำเหนือที่ไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นน้ำป่าที่ไหลมาจากเทือกเขาใน จ.เพชรบูรณ์ลพบุรีและชัยภูมิ ส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนป่าสักฯ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (ปริมาณน้ำในเขื่อนณ วันที่ 1 ต.ค. สูงสุดในรอบ 4 ปี) ทำให้กรมชลประทานต้องเร่งระบายน้ำออกจากเขื่อน ทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำป่าสักใน จ.สระบุรี และ จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อเป็นการลดปริมาณน้ำที่กระทบบริเวณ อ.ท่าเรือ อ.นครหลวง อ.พระนครศรีอยุธยา และ อ.บางไทร จึงผันน้ำบางส่วนออกทางคลองระพีพัฒน์ ผ่านประตูระบายน้ำพระนารายณ์ ลงสู่คลองรังสิตประยูรศักดิ์ เพื่อสูบออกแม่น้ำบางปะกงและอ่าวไทย
โครงการคลองระบายน้ำหลากฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอีกโครงการหนึ่งในแผนหลักของแผนการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง จำนวน 9 แผน ระยะเวลาดำเนินการ13 ปี(2560-72) กรอบวงเงินประมาณ 329,151 ล้านบาท เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จทั้ง 9 แผน จะทำให้การแก้ปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาน้ำท่วมหนักอย่างเช่นปี 2554 จะไม่เกิดขึ้น เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ทั้งในสภาวะปกติและวิกฤติ โดยการตัดยอดน้ำหลากที่จะไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาได้สูงถึง1,000 ลบ.ม./วินาที ด้วยการพัฒนาปรับปรุงคลองชัยนาท-ป่าสัก ร่วมกับการก่อสร้างคลองระบายน้ำหลากป่าสัก-อ่าวไทย เพื่อเร่งระบายลงสู่อ่าวไทย